
บริษัท เนอวานา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด(มหาชน) (“บริษัทฯ”) ตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการบริหารความเสี่ยง เพื่อนำไปสู่การบรรลุวัตถุประสงค์และการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่องค์กร ผู้ถือหุ้น สังคม ชุมชน และผู้มีส่วนได้เสียกลุ่มต่างๆ ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้กำหนดให้มีการประเมินความเสี่ยงที่เชื่อมโยงกับการวางแผนกลยุทธ์ โดยพิจารณาจากความไม่แน่นอนจากปัจจัยต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจและเป้าหมายองค์กรอยู่ตลอดเวลา และเพื่อมองหาโอกาสในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งจะช่วยให้บริษัทฯ บรรลุเป้าหมายการดำเนินธุรกิจและเติบโตอย่างยั่งยืน บริษัทฯ ได้พัฒนาระบบการบริหารความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง โดยในแต่ละปีจะมีการวิเคราะห์และประเมินความเสี่ยงที่มีผลกระทบต่อเป้าหมายตามแผนธุรกิจ และกำหนดมาตรการในการควบคุมความเสี่ยงอย่างเหมาะสม ตลอดจนบูรณาการกระบวนการบริหารความเสี่ยงเข้ากับกระบวนการทำงานขององค์กร โดยพัฒนาระบบการประเมินความเสี่ยงและการควบคุมภายในด้วยตนเอง (Risk Control Self-Assessment: RCSA) เพื่อประเมินความเพียงพอของการควบคุมที่มีการออกแบบไว้ให้สอดคล้องกับขั้นตอนการทำงาน และการปฏิบัติตามระบบการควบคุมภายในอย่างต่อเนื่อง โดยเจ้าของกระบวนการจะเป็นผู้ประเมิน และปรับปรุงการควบคุมภายในของหน่วยงานหรือการปฏิบัติงานของตนเองตามแผนงานที่กำหนด เพื่อป้องกัน หรือลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากการทำงาน หรือปัจจัยอื่นๆ ที่มากระทบต่อการทำงานส่งผลให้ไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ได้ ตลอดจนติดตามและรายงานผลการบริหารจัดการความเสี่ยง เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง คณะกรรมการตรวจสอบ และคณะกรรมการบริษัท เพื่อพิจารณาและให้ข้อคิดเห็น ในการปรับปรุงประสิทธิภาพของการบริหารจัดการความเสี่ยง และสนองตอบต่อความเสี่ยงของธุรกิจของบริษัทฯ ในทุกด้าน
บริษัท เนอวานา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ตระหนักว่าการบริหารความเสี่ยงเป็นส่วนหนึ่งของการกำกับดูแลกิจการที่ดี และเป็นพื้นฐานสำคัญที่ช่วยให้บริษัทฯ สามารถบรรลุวัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์ที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ การบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้บริษัทมีการตัดสินใจที่ดีขึ้น ทั้งในเรื่องของการกำกับดูแลกลยุทธ์ การกำหนดวัตถุประสงค์ และการดำเนินธุรกิจ
บริษัทฯ ได้จัดทำนโยบายการบริหารความเสี่ยง โดยกำหนดกรอบการปฏิบัติงานและกระบวนการ เพื่อใช้ในการบริหารความเสี่ยงของบริษัท ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้นำแนวทางของ The COSO Enterprise Risk Management Framework มาปรับใช้ในการระบุและประเมินความเสี่ยงของกิจกรรมทางธุรกิจที่บริษัทฯ ดำเนินการ
คณะกรรมการบริษัทได้แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง (Risk Management Committee) เพื่อทำหน้าที่กำหนดนโยบาย กรอบการดำเนินงาน รวมทั้งติดตาม กลั่นกรอง ให้ข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะงานด้านการบริหารความเสี่ยงในระดับองค์กร ตลอดจนพิจารณาเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ของบริษัท และพิจารณาแนวทางในการบริหารจัดการความเสี่ยงเหล่านั้น เพื่อให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ (Risk Appetite) และบริษัทฯ ได้กำหนดหน่วยงานที่รับผิดชอบในการติดตามและบริหารความเสี่ยงตามนโยบายที่บริษัทกำหนด โดยอยู่ภายใต้สังกัดสายงานประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เพื่อให้เกิดความเป็นอิสระในการกำกับดูแลความเสี่ยง นอกจากนี้ ยังมอบหมายให้ทุกหน่วยงานในฐานะเจ้าของความเสี่ยง (Risk Owner) มีหน้าที่ในการจัดทำ ทบทวน และกำกับดูแลบริหารความเสี่ยงที่อยู่ในความรับผิดชอบ รวมทั้งติดตามประเด็นความเสี่ยงเพื่อเสนอต่อคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง
วัฒนธรรมการบริหารความเสี่ยงเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของกรอบการบริหารความเสี่ยงของบริษัท โดยบริษัทฯ มุ่งมั่นที่จะส่งเสริมวัฒนธรรมการบริหารความเสี่ยงให้มีความเข้มแข็งทั่วทั้งองค์กร และมุ่งหวังให้พนักงานมีความตระหนักรู้ถึงความเสี่ยงในการปฏิบัติงาน และรับผิดชอบในการบริหารความเสี่ยง นอกจากนี้ บริษัทฯ สนับสนุนให้พนักงานมีทัศนคติและพฤติกรรมในการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดวัฒนธรรมการบริหารความเสี่ยงที่ดี โดยมีแนวทางการดำเนินการดังนี้
- กำหนดนโยบายการบริหารความเสี่ยง วัตถุประสงค์ กรอบการบริหารความเสี่ยง และแนวทางการบริหารความเสี่ยง
- นำแนวทางไปปฏิบัติและติดตามความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง ทั้งในระดับคณะกรรมการ ระดับบริหาร และระดับปฏิบัติการ
- สื่อสารและเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องการบริหารความเสี่ยงในองค์กรอย่างต่อเนื่อง โดยผ่านช่องทางต่างๆ เช่น บอร์ดประชาสัมพันธ์ และการฝึกอบรม เป็นต้น
ในปี 2567 บริษัทฯ ได้สร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจในเรื่องการบริหารความเสี่ยงผ่านช่องทางการฝึกอบรมให้กับพนักงานทุกคน โดยจัดให้มีการฝึกอบรมในเรื่องการบริหารความเสี่ยงให้กับพนักงานจำนวน 1 หลักสูตร (หลักสูตรภาคบังคับ) ผ่านช่องทางออนไลน์ ในตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคม 2567
ความเสี่ยงด้านกลยุทธ์ (Strategic Risk)
ความเสี่ยงจากสภาวะเศรษฐกิจหดตัว และภาวะตลาดที่มีการแข่งขันสูง
ท่ามกลางเศรษฐกิจชะลอตัว จากปัจจัยเสี่ยงหลายประการ เช่น หนี้ครัวเรือน หนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้สถาบันการเงินเข้มงวดการอนุมัติสินเชื่อที่อยู่อาศัยใหม่ อัตราดอกเบี้ยยังทรงตัวในระดับสูง ปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ และนโยบายรัฐบาลที่ยังทยอยออกมาแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจ ทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัวให้รับกับสถานการณ์ปัจจุบัน และมีแนวโน้มว่าในปี 2568 ยังคงชะลอตัวต่อเนื่องในอัตราที่ลดลง ผู้ประกอบการจึงชะลอเปิดตัว โดยเฉพาะอาคารชุดและบ้านต่ำกว่า 10 ล้านบาท ขณะที่บ้านพรีเมียมยังเติบโตต่อเนื่อง
ตลาดบ้านพรีเมียมแม้มีความท้าทายภาวะเศรษฐกิจ ยังเติบโตหลังผู้ประกอบการปรับตัวให้ตอบสนองกับความต้องการผู้บริโภคกลุ่มผู้ที่มีกำลังซื้อสูงโดยบ้านเดี่ยวมีเปิดถึง 90% ราคามากกว่า 20 ล้านบาท ยังมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นเพราะราคาที่ดินสูงและหายากมากขึ้น
ไตรมาสสุดท้ายปีนี้ อสังหาฯ ยังเผชิญแรงกดดันหลายปัจจัยเสี่ยง ทำให้ที่อยู่อาศัยเปิดใหม่กรุงเทพฯและปริมณฑลทั้งปี 2567 เติบโตลดลง แม้มีมาตรการกระตุ้นอสังหาฯจากรัฐ สำหรับบ้านไม่เกิน 7 ล้านบาท แต่ผู้ประกอบการรวมถึงผู้บริโภคเองยังคงต้องระมัดระวังจากปัจจัยเสี่ยงภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอน
จากสภาวะเศรษฐกิจ ส่งผลให้การส่งเสริมการขาย หรือการทำตลาดเป็นไปค่อนข้างยาก หนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น สถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ มาตรการ LTV ที่หยุดติการผ่อนผัน ทำให้ลูกค้าที่ต้องการซื้อบ้านกู้สินเชื่อยากขึ้น หรือได้วงเงินลดลง นอกจากนี้ยังส่งผลต่อผู้ประกอบการในเรื่องของดอกเบี้ยในส่วนที่เป็นต้นทุน ค่าแรงที่เพิ่มสูงขึ้น ค่าที่ดินและค่าวัสดุก่อสร้างเพิ่มมากขึ้น จากปัจจัยทั้งหมดนี้ จะส่งผลให้ราคาขายของที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 5-10 ในขณะที่ลูกค้าที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยมีศักยภาพในการกู้เงินที่น้อยลง
แนวทางการป้องกัน แม้ว่าทิศทางตลาดอสังหาฯ ปี 2567 จะมีการปรับตัวลดลงของทั้งอุปสงค์และอุปทานอยู่เมื่อเทียบกับปีก่อน บริษัทฯ มีการปรับกลยุทธ์การขายเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพตลาด โดยเลือกกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการอย่างแท้จริง (real demand) การสร้างความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคทั้งในเรื่องทำเลที่ตั้งโครงการที่เหมาะสม การออกแบบที่ดี และการกำหนดราคาที่ดี การบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายให้มีความเหมาะสม และการบริหารกระแสเงินสดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมในการดำเนินงานของธุรกิจ
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้เริ่มดำเนินธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้ประจำอย่างต่อเนื่อง (recurring income business) เช่น อาคารจอดรถบริเวณซอยเฉยพ่วง บริเวณ ถนนวิภาวดีรังสิต บริเวณ 5 แยกลาดพร้าว และกลางปี 2567 ในเดือนสิงหาคม บริษัทฯ ได้เปิดคอมมูนิตี้มอลล์เปิดให้บริการ Nirvan Porch บริษัทฯได้พัฒนาขึ้นเพื่อเพิ่มมูลค่าโครงการบ้านจัดสรรของโครงการในละแวกนี้ และเป็นคอมมูนิตี้มอลล์ทั่วไปที่รองรับคนในพื้นที่ ซึ่งมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ไม่ได้เน้นแค่ร้านอาหาร แต่มีบริการ และซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดเล็กด้วย โดยโครงการตั้งอยู่บริเวณถนนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ เนื่องจากพื้นที่โซนนี้มีความหนาแน่นของที่อยู่อาศัยที่เพิ่มขึ้น เชื่อมต่อกับทางด่วน ถนนหลักหลายเส้นทาง เช่น ถนนพระราม 9 ถนนศรีนครินทร์ ถนนกรุงเทพกรีฑา ถนนรามคำแหงวงแหวนกาญจนาภิเษก ถนนเจ้าคุณทหาร เป็นต้น รวมไปถึงซอยหรือถนนสายรองบางเส้นทางที่เชื่อมต่อกับถนนสายอื่นๆ ได้อีก และยังไม่ไกลจากเส้นทางพิเศษอย่างมอเตอร์เวย์ด้วย เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง และมีแผนที่จะขยายธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้อย่างต่อเนื่องเพิ่มขึ้นในอนาคต
ความเสี่ยงด้านปฏิบัติงาน (Operational Risk)
ความเสี่ยงจากการจัดหาที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการในอนาคต
ที่ดินถือว่าเป็นปัจจัยหลักในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ การพิจารณาทำเลและที่ตั้งถือเป็นปัจจัยหลักที่สำคัญที่สุดในการประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ความง่ายต่อการเข้าถึงของสาธารณูปโภคหลัก ได้แก่ ถนน ระบบขนส่งมวลชน รถไฟฟ้า น้ำประปา และไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งทำเลที่มีศักยภาพเหมาะสมต่อการพัฒนาโครงการ ก็เป็นที่ต้องการของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์เช่นเดียวกัน
เนื่องจากที่ดินเป็นปัจจัยหลักในการดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และบริษัทฯ เน้นการพัฒนาโครงการตามแนวถนนตัดใหม่ และในแหล่งชุมชน ซึ่งเป็นที่ต้องการของผู้ประกอบการเช่นเดียวกัน ส่งผลให้เกิดการแข่งขันในการซื้อที่ดินที่มีศักยภาพสูง การจัดซื้อที่ดินในทำเลที่ไม่เป็นตามแผนธุรกิจ หรือมีความเสี่ยงจากการจัดหาและจัดซื้อที่ดินที่มีราคาแพง จะส่งผลกระทบต่อแผนการดำเนินงาน และต้นทุนการพัฒนาโครงการและอาจทำให้ไม่สามารถพัฒนาโครงการ เพื่อให้ผลตอบแทนจากการลงทุนเป็นไปตามนโยบายการลงทุนของบริษัท
แนวทางการป้องกัน เพื่อลดปัจจัยความเสี่ยงดังกล่าว บริษัทฯ มีการวางแผนการลงทุนระยะยาวล่วงหน้าพร้อมทั้งกำหนดแผนการซื้อที่ดินให้สอดคล้องกับแผนธุรกิจ สภาพคล่อง และสภาวะเศรษฐกิจ รวมถึงแผนรองรับการเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้นในอนาคตให้สอดคล้องกับสถานการณ์อาจที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การจัดหาที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการ การพิจารณาความเหมาะสมในการเปิดตัวโครงการใหม่ โดยศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนพัฒนาโครงการอย่างรอบคอบ นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีกระบวนการที่รัดกุมและโปร่งใสก่อนการตัดสินใจซื้อที่ดิน โดยมีคณะทำงานพิจารณาข้อมูลการตลาด คู่แข่ง ราคาที่ดินเทียบกับราคาประเมินของราชการ และราคาประเมินของผู้ประเมินอิสระ ซึ่งจะนำไปใช้เป็นกรอบในการพิจารณาทำเลและราคาที่เหมาะสมกับนายหน้าที่เป็นพันธมิตรกับบริษัท ทำให้สามารถลดความเสี่ยงอันเนื่องจากการไม่สามารถจัดหาที่ดินในทำเลและราคาที่สอดคล้องกับแผนงานทางธุรกิจของบริษัทได้
ความเสี่ยงจากการเพิ่มขึ้นราคาวัสดุก่อสร้าง
ในเดือนพฤศจิกายน 2567 ดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างโดยรวม อยู่ที่ 112.8 จุด เพิ่มขึ้น 0.4% เมื่อเทียบปีต่อปี (YoY) แต่ลดลง 0.3% เมื่อเทียบเดือนต่อเดือน (MoM) ทั้งนี้ หากพิจารณาช่วง 11 เดือนแรกของปี 2567 (11M/67) ดัชนีหดตัวลงเล็กน้อยที่ -0.2% YoY สะท้อนถึงการผันผวนของราคาวัสดุก่อสร้างในตลาด
เป็นผลจากการลดลงของหมวดเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก และซีเมนต์ โดยลดลงร้อยละ 2.7 และ 3.9 ตามลำดับเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่ดัชนีของวัสดุหลักในการก่อสร้าง กลุ่มผลิตภัณฑ์คอนกรีต และกลุ่มกระเบื้อง ยังคงทรงตัวและปรับลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน กลุ่มไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ และกลุ่มอุปกรณ์ไฟฟ้าและประปา ปรับเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
แนวโน้มในปี 2568 คาดการณ์ว่าราคาวัสดุก่อสร้างจะยังคงผันผวน โดยเฉพาะในหมวดเหล็กและซีเมนต์ที่ยังมีความต้องการไม่แน่นอนจากตลาดโลกและในประเทศ การฟื้นตัวของการลงทุนในโครงการภาครัฐ รวมถึงโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ อาจเพิ่มความต้องการวัสดุก่อสร้างในบางกลุ่ม ราคาพลังงานยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการผลิตและต้นทุนวัสดุก่อสร้าง
แนวทางการป้องกัน บริษัทให้ความสำคัญในการติดตามราคาวัสดุก่อสร้างและค่าแรงอย่างใกล้ชิด โดยบริษัทประเมินต้นทุนค่าก่อสร้างและค่าใช้จ่ายในการจัดทำโครงการทั้งหมดตั้งแต่ในช่วงศึกษาความเป็นไปได้ของการลงทุนเพื่อสะท้อนต้นทุนทั้งหมดและพิจารณาราคาขายที่เหมาะสม การควบคุมราคาวัสดุก่อสร้างอย่างมีประสิทธิภาพจึงสามารถช่วยลดความเสี่ยงจากการที่ต้นทุนพัฒนาโครงการปรับตัวสูงขึ้น และส่งผลให้บริษัทฯ สามารถรักษาความสามารถในการทำกำไรได้ อย่างมีนัยสำคัญ บริษัทฯ จึงได้ ให้ความสำคัญกับการป้องกันความเสี่ยงดังกล่าว
โดยบริษัทฯ จะจัดหาวัสดุก่อสร้างหลัก ซึ่งเป็นวัสดุประเภทที่ใช้ในการพัฒนาโครงการเป็นจำนวนมากและมีมูลค่าสูง ให้แก่ผู้รับเหมาแต่ละราย เนื่องจากการสั่งซื้อวัสดุก่อสร้างในปริมาณมากในแต่ละครั้งทำให้บริษัทฯ มีอำนาจในการต่อรองราคาที่สูงกว่าให้ผู้รับเหมาจัดหาวัสดุก่อสร้างด้วยต้นเอง ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถจัดซื้อวัสดุก่อสร้างได้ในระดับราคาที่ดีกว่าซึ่งจะช่วยในการควบคุมต้นทุนและคุณภาพของวัสดุก่อสร้างหลักในแต่ละโครงการให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดรวมทั้งสามารถช่วยลดภาระให้กับผู้รับเหมาที่มีสภาพคล่องไม่สูงมากนักได้อีกทางหนึ่งด้วย บริษัทฯ ยังได้มีการเจรจากับผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างหลักที่ใช้ในแต่ละโครงการ เพื่อตกลงราคาส่งมอบวัสดุก่อสร้างไว้ล่วงหน้า โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันความผันผวนทางด้านราคา การดำเนินการดังกล่าวช่วยให้บริษัทฯ มั่นใจได้ว่า จะสามารถรักษาระดับต้นทุนโครงการได้ตามช่วงระยะเวลาที่กำหนด หรือตลอดระยะเวลาที่ดำเนินโครงการซึ่งเป็นวิธีการที่สำคัญในการลดความเสี่ยงในการผลิตของบริษัทฯ จากการเพิ่มขึ้นของราคาวัสดุก่อสร้าง
ความเสี่ยงจากการขาดแคลนผู้รับเหมาและแรงงานฝีมือ
ปัญหาการขาดแคลนแรงงานก่อสร้างและแรงงานฝีมือยังคงเป็นปัญหาใหญ่ของธุรกิจอสังหาฯ อย่างต่อเนื่องและจากการที่บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และรับเหมาก่อสร้าง จำนวนผู้รับจ้างเหมาและแรงงานจึงถือเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินงาน โดยบริษัทฯ ได้ปรับปรุงกระบวนการจัดหาผู้รับเหมาหลัก (Main Contractor) ให้ครอบคลุมถึงการจัดซื้อวัสดุก่อสร้าง และปรับปรุงกระบวนการก่อสร้างให้ได้คุณภาพตามมาตรฐาน โดยบริษัทฯ มีการบริหารจัดการความเสี่ยง ดังนี้ 1) จ้างเหมาผู้รับเหมา จ้างโดยครอบคลุมการจัดซื้อวัสดุก่อสร้าง โดยบริษัทฯ จะมุ่งเน้นการตรวจคุณภาพงานของผู้รับเหมา 2) จัดจ้างผู้รับเหมาโครงการระดับกลางถึงใหญ่เพิ่ม เพื่อเป็นทางเลือกในกระบวนการก่อสร้าง นอกจากนี้ ในการว่าจ้างผู้รับเหมาในแต่ละโครงการ บริษัทจะพิจารณาว่าจ้างผู้รับเหมาที่เป็นพันธมิตรเป็นลำดับแรกภายใต้งบประมาณตามแผนการลงทุน และแต่ละโครงการจะก่อสร้างโดยผู้รับเหมาเพียงรายเดียวและทำสัญญาการก่อสร้างแบบเบ็ดเสร็จ (Turnkey Construction Contract) และ 3) ปรับกระบวนการก่อสร้าง โดยให้ฝ่ายก่อสร้างปรับปรุง แผนการใช้วัสดุและกำหนดให้มีการปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบันทุกเดือน เพื่อให้สามารถควบคุมต้นทุนให้เป็นไปตามเป้าหมาย
แนวทางการป้องกัน สำหรับการลดการใช้แรงงานด้วยเทคโนโลยีการก่อสร้าง บริษัทได้ปรับเปลี่ยนวิธีการก่อสร้างบางส่วนจาก “ระบบการก่อสร้างแบบดั้งเดิม” (Conventional Construction) มาเป็น “ระบบการก่อสร้างด้วยชิ้นส่วนคอนกรีตสำเร็จรูป” (Precast Construction) โดยจะใช้ผนังและชิ้นงานสำเร็จรูปซึ่งผลิตจากโรงงานมาประกอบ ซึ่งช่วยให้บริษัทลดการพึ่งพาแรงงานลง และช่วยให้การก่อสร้างรวดเร็วขึ้นแต่ยังคงรักษาคุณภาพได้ตามมาตรฐานงานก่อสร้าง
ความเสี่ยงด้านการเงิน (Financial Risk)
ความเสี่ยงด้านสภาพคล่องและการจัดหาแหล่งเงินทุน
ความเสี่ยงด้านสภาพคล่องและการจัดหาแหล่งเงินทุน เป็นความเสี่ยงที่สำคัญยิ่งของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ปัญหาขาดสภาพคล่องจะเกิดได้จากการที่รายรับของกิจการได้ต่ำกว่าเป้าหมายมาก ในขณะที่ยอดรายจ่ายสูง หรือกรณีที่สภาพคล่องมีน้อย แต่มีการลงทุนเพิ่มจำนวนมาก หรือมีภาวะหนี้ผูกพันระยะสั้นที่ต้องจ่ายตามกำหนดเวลาจำนวนมาก และจากความผันผวนทางเศรษฐกิจ ภาวะหนี้สินภาคครัวเรือนของประเทศอยู่ในระดับสูง ตลอดจนผลจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการปล่อยสินเชื่อของธนาคารแห่งประเทศไทย ส่งผลให้สถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการพิจารณาและอนุมัติสินเชื่อ สำหรับผู้ประกอบการ (Pre-Finance) และสินเชื่อสำหรับผู้บริโภค (Post-Finance) มากขึ้น
แนวทางการป้องกัน บริษัทฯ ต้องติดตามดูแลปัญหาสภาพคล่อง โดยเฉพาะกระแสเงินสดและบัญชีรายรับรายจ่ายอย่างใกล้ชิด และต้องไม่ก่อหนี้จำนวนมากเกินขีดความสามารถที่จะชำระได้ อาจต้องชะลอการลงทุนที่จะก่อภาระหนี้สินจำนวนมากออกไปก่อน หากจำเป็นต้องลงทุนก็ต้องประเมินความเสี่ยงอย่างรอบคอบรัดกุมที่สุด นอกจากนั้น จะต้องมีการเจรจาทำความตกลงกับธนาคารเพื่อให้ได้รับเงื่อนไขเงินกู้ที่เป็นประโยชน์แก่การดำเนินงานของบริษัทฯ มากที่สุด และจะต้องมีการสำรองเงินสดให้เพียงพอ และขอวงเงินกู้กับธนาคารสำรองไว้ด้วย และที่สำคัญต้องมีสัญญาณไว้คอยเตือนภัยเพื่อรู้ล่วงหน้าให้ทันเวลาก่อนที่จะเกิดปัญหา
สำหรับการเข้าถึงแหล่งเงินทุน บริษัทฯ ป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นด้วยการสร้างความน่าเชื่อจากสถาบันการเงิน โดยแสดงผลการดำเนินการที่แข็งแกร่ง ความมีวินัยทางการเงินในการชำระดอกเบี้ยและเงินต้นตามกำหนด และสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องของบริษัท การบริหารสัดส่วนหนี้สินรวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้นไม่เกิน 2 เท่า เพื่อบริหารจัดการเงินทุนให้มีประสิทธิภาพและมีต้นทุนทางการเงินที่เหมาะสม ตลอดจนมีสถาบันการเงินที่เป็นพันธมิตรที่พร้อมให้การสนับสนุนสินเชื่อสำหรับการพัฒนาโครงการของบริษัท
ความเสี่ยงจากการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายและความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน
ในปี 2567 ธนาคารแห่งประเทศไทยรายงานว่า ระบบการเงินโดยรวมมีเสถียรภาพมากขึ้น โดยธนาคารพาณิชย์ยังคงมีระดับเงินกองทุนและเงินสำรองที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม คุณภาพสินเชื่อ โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs และครัวเรือนที่รายได้ฟื้นตัวช้า ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งที่ 6/2567 เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2567 คณะกรรมการมีมติคง อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.25% ต่อปี ซึ่งเป็นระดับที่สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อปัจจุบัน การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนความพยายามในการรักษาสมดุลระหว่าง การควบคุมเงินเฟ้อในระดับต่ำ และการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

สำหรับบริษัทฯ ซึ่งมีการพึ่งพาเงินกู้ทั้งในรูปแบบ ดอกเบี้ยคงที่ และ ดอกเบี้ยลอยตัว เพื่อพัฒนาโครงการต่าง ๆ การคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงยังคงส่งผลกระทบต่อ ต้นทุนทางการเงิน โดยเฉพาะในกรณีที่อัตราดอกเบี้ยลอยตัวเพิ่มขึ้นในอนาคต ซึ่งอาจส่งผลโดยตรงต่อ อัตรากำไรสุทธิ และทำให้ต้นทุนการพัฒนาโครงการสูงขึ้น
ในด้าน ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ค่าเงินบาทยังคงมีความผันผวนจากปัจจัยภายนอก เช่น ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก การอ่อนค่าของเงินบาทอาจเพิ่มต้นทุนการนำเข้าวัสดุก่อสร้าง ในขณะที่การแข็งค่าของเงินบาทอาจกระทบต่อการขายโครงการแก่ลูกค้าชาวต่างชาติ
ในขณะที่ตลาดตราสารหนี้มีความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะหุ้นกู้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ยกระดับหลักเกณฑ์การอนุญาตให้ออกและเสนอขายตราสารหนี้ รวมถึงการปรับปรุงหลักเกณฑ์การเปิดเผยข้อมูล เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์มากขึ้น โดยมีผลตั้งแต่ 1 สิงหาคม 2567 ทำให้อัตราผลตอบแทนจากตราสารหนี้หรืออัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ อยู่ในระดับสูง ทำให้บริษัทฯ มีการปรับ Loan Portfolio ในปี 2567 ดังนี้
- หุ้นกู้ชุด “หุ้นกู้มีประกันของบริษัท เนอวานา ไดอิ จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2566 ชุดที่ 1 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2567 ซึ่งผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนครบกำหนดไถ่ถอน” ครบกำหนดวันที่ 30 กันยายน 2567 มูลค่า 465 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 6.40% บริษัทฯ ได้รับการสนับสนุนวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงิน เพื่อชำระคืนหุ้นกู้ดังกล่าว โดยมีอัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลงจากเดิม
- หุ้นกู้ชุด “หุ้นกู้มีประกันของบริษัท เนอวานา ไดอิ จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2565 ชุดที่ 2 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2567 ซึ่งผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนครบกำหนดไถ่ถอน” ครบกำหนดวันที่ 17 ธันวาคม 2567 มูลค่า 650 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 6.80% บริษัทฯ ได้รับการสนับสนุนวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงิน เพื่อชำระคืนหุ้นกู้ดังกล่าว โดยมีอัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลงจากเดิม
ตามที่สถาบันการเงินสนับสนุนวงเงินสินเชื่อเพื่อชำระคืนหุ้นกู้ดังกล่าวข้างต้น ทำให้ตราสารหนี้ในรูปหุ้นกู้ของบริษัทฯ ปรับลดลงจาก 1,835 ล้านบาท เมื่อต้นปี 2567 คงเหลือ 585 ล้านบาท ณ ธันวาคม 2567 และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้คงที่ มีแนวโน้มเป็นอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มในอนาคตที่คาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะมีการปรับลดลง และสอดคล้องกับสถานกรณ์ตลาดตราสารหนี้ รวมทั้ง ต้นทุนทางการเงินมีแนวโน้มปรับลดลง
นอกจากนี้ บริษัทฯ มีการเปิดบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเมินสำหรับนิติบุคคลผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศ (FCD) เพื่อรองรับเงินโอนที่เป็นเงินสกุลต่างประเทศ และบริหารจัดการให้มีความเหมาะสม
แนวทางการป้องกัน บริษัทฯ วางแผนและบริหารจัดการ สัดส่วนของเงินกู้อัตราดอกเบี้ยลอยตัว และเงินกู้อัตราดอกเบี้ยคงที่ และประมาณการวางแผนการออกตราสารหนี้ หรือหุ้นกู้ให้สอดคล้องตามสภาพเศรษฐกิจและมุมมองของบริษัทต่ออัตราดอกเบี้ยในอนาคต รวมถึงได้จัดให้มีการบริหารแผนการเบิกเงินกู้ และการชำระคืนเงินกู้ให้มีความเหมาะสม ตลอดจนการเจรจาขอปรับดอกเบี้ย และ/หรือการขยายระยะอายุวงเงินกับธนาคาร การเปิดบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศสำหรับนิติบุคคลผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศ (FCD) ให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น
ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Risk)
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจากปัญหาโลกร้อน (Climate Change) เป็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ซึ่งที่ผ่านมามาตรการควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกไม่ให้เพิ่มมากไปกว่า 2 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับระดับก่อนยุคอุตสาหกรรมยังไม่ประสบความสำเร็จ เป็นผลทำให้เกิดความเสี่ยงต่างๆ ที่ทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นตามมา ทั้งทางตรง เช่น ภัยพิบัติ ทางธรรมชาติ ปัญหาภัยแล้ง เป็นต้น และทางอ้อม เช่น การกำหนดกฎระเบียบที่เข้มงวดและมาตรฐานใหม่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคและการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี เป็นต้น บริษัทฯ จึงต้องกำหนดแนวทางการบริหารจัดการ และรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อบรรเทาผลกระทบที่อาจส่งผลต่อต้นทุนการผลิต ความสามารถในการแข่งขันและความยั่งยืนของการดำเนินธุรกิจในอนาคต
แนวทางการป้องกัน บริษัทฯ ได้มีการวิเคราะห์ความเสี่ยง และโอกาสที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในกรณีต่างๆ บริษัทฯ ได้จัดหานวัตกรรมที่นำสมัย สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค เพื่อนำมาพัฒนารูปแบบการให้บริการและพัฒนาผลิตภัณฑ์ เช่น การออกแบบบ้านที่คำนึงถึงช่องแสง และช่องเปิดภายในบ้าน จากการออกแบบบ้านของเนอวานา ที่ให้ความสำคัญกับแนวคิด MASS & VOID ที่ช่วยส่งเสริมช่องเปิดในบ้าน ไม่เพียงแต่ช่องแสง แต่ยังหมายถึงระบบหมุนเวียนของลมภายในบ้าน ทำให้มีความปลอดโปร่งเป็นพิเศษ ทั้งยังออกแบบทิศทางของแสงให้ส่องเข้ามาในบ้านอย่างทั่วถึง แต่ไม่สร้างอุณหภูมิที่ไม่พึงประสงค์ภายในตัวบ้าน เพราะการเลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพในการป้องกันความร้อน สามารถช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้า รวมถึงระบบ Motion sensor system เทคโนโลยีของอุปกรณ์ตรวจจับความเคลื่อนไหวภายในบ้านเนอวานา ทำให้เกิดความสะดวกสบายหลายอย่างต่อการอยู่อาศัย และ EV Charger Support ซึ่งตอบโจทย์การลดภาวะโลกร้อน และสอดคล้องกับนโยบายของกระแสการพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ในปัจจุบัน ด้วยการใส่ Plug in ภายนอกบ้านบริเวณที่จอดรถ พร้อมตอบสนองให้กับผู้ใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าทุกรูปแบบ นอกจากนี้บริษัทฯ มีการติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิดและทันเหตุการณ์ และรณรงค์ ส่งเสริม ให้พนักงานประหยัดพลังงาน ลดปริมาณการใช้น้ำ ลดปริมาณของเสีย เพื่อเป็นการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมอีกทางหนึ่ง
ความเสี่ยงด้านสังคม (Social risk)
ความเสี่ยงเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน
การดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบตามกรอบสิทธิมนุษยชนสากลเป็นประเด็นที่ทั่วโลกให้ความสนใจมาก ในปัจจุบัน โดยเฉพาะการขยายธุรกิจให้เติบโต มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องใช้แรงงานในการขับเคลื่อนธุรกิจไปสู่ความสำเร็จ จึงก่อให้เกิดความเสี่ยงในการดำเนินงานที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน นอกจากนี้ทั่วโลกยังให้ความสำคัญของความเสมอภาคทางเพศ ตลอดจนความเสมอภาคทางสังคมอื่น ๆ อาทิ ศาสนา สีผิว เชื้อชาติ และพร้อมที่จะยอมรับในความแตกต่างด้านความคิด เพื่อนำมาปรับใช้ในการดำเนินธุรกิจขององค์กร ดังนั้น บริษัทจึงตระหนักถึงความสำคัญในการจัดการสิทธิมนุษยชนและแรงงานในการดำเนินธุรกิจอย่างมีระบบ เพื่อป้องกันความเสี่ยงและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการละเมิดสิทธิมนุษยชนของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องบุคคลใดบุคคลหนึ่ง บริษัทจึงมุ่งมั่นที่จะปรับตัวและเตรียมพร้อมในการลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนตลอดห่วงโซ่คุณค่าธุรกิจ
บริษัทฯ มุ่งดำเนินธุรกิจภายใต้นโยบายด้านสิทธิมนุษยชนและการปฏิบัติด้านแรงงานของบริษัทเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มจากการดำเนินธุรกิจตลอดห่วงโซ่อุปทาน โดยบริษัทได้กำหนดแนวทางปฏิบัติที่สอดคล้องกับแนวทางสากลตามหลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ (UN Guiding Principles on Business and Human Rights: UNGP) และปฏิญญาว่าด้วยหลักการและสิทธิขั้นพื้นฐานในการทำงานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labor Organization : ILO) รวมถึงกฎหมายแรงงานของแต่ละประเทศที่บริษัทประกอบธุรกิจ
แนวทางการป้องกัน จากการขาดแคลนแรงงานในการรับบุคลากร เนื่องจากภาวะการแข่งขันของตลาดแรงงานที่มีฝีมือค่อนข้างสูง ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงของประชากรโลกที่กำลังเข้าสู่ยุค Aging Society ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้สร้างแรงจูงใจ โดยการมอบสวัสดิการและผลตอบแทนที่เหนือกว่าคู่แข่ง พร้อมกับการจัดทำ career Path ที่ชัดเจน นอกจากนี้ บริษัทฯ ร่วมกับมหาวิทยาลัย เปิดโอกาสให้นักศึกษาเข้ามาฝึกงานในหลายหน่วยงาน เพื่อเป็นการชักชวนผู้ที่สนใจและมีศักยภาพเข้ามาร่วมงานกับบริษัทฯ
ความเสี่ยงด้านการปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับ (Compliance Risk)
ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมาย กฎระเบียบ และข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
การดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เกี่ยวข้องกับกฎหมาย กฎระเบียบ และข้อบังคับหลายฉบับ เช่น กฎหมายผังเมือง พระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พระราชบัญญัติอาคารชุด รวมถึงการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบที่เกี่ยวกับการกำหนดขอบเขตการใช้ประโยชน์ที่ดิน (zoning) เป็นต้น ซึ่งกฎหมายแต่ละฉบับมีข้อกำหนดที่ซับซ้อนและมีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการวางแผนธุรกิจ ต้นทุน และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั้งแนวราบและแนวสูง
แนวทางการป้องกัน บริษัทฯ ต้องใช้ความละเอียดรอบคอบในการดำเนินงานให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดให้ครบถ้วน ซึ่งหากไม่ปฏิบัติตามหรือปฏิบัติตามไม่ครบถ้วนอาจส่งผลกระทบต่อต้นทุน ระยะเวลาในการพัฒนา โครงการ และแผนการดำเนินงานของบริษัทฯ เพื่อลดความเสี่ยงจากกฎหมาย กฎระเบียบ และข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัทให้ความสำคัญในการปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ตั้งแต่ก่อนการซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการ โดยมีคณะทำงานเพื่อตรวจสอบข้อจำกัดทางด้านกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงการมีอยู่ในปัจจุบันรวมทั้งที่จะประกาศใช้ในอนาคตอันใกล้ อย่างรอบคอบ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าบริษัทจะสามารถปรับเปลี่ยนได้ทันเหตุการณ์
ความเสี่ยงในการปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
ตามที่ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (Personal Data Protection Act, PDPA) ประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2562 หลังจากที่ถูกเลื่อนออกมาให้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มิถุนายน 2565 ซึ่งบริษัทฯ ได้ดำเนินการประกาศบังคับใช้เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2564 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานของบริษัทฯ มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคลของผู้มีส่วนได้เสียของบริษัทหลายกลุ่ม ได้แก่ ลูกค้า ร้านค้า คู่ค้า พนักงาน เป็นต้น และเกี่ยวข้องกับบุคลากรของบริษัทฯ ในหลายหน่วยงาน หลายสถานที่ตั้ง ทำให้อาจเกิดการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้อง ไม่ครบถ้วนตามมาตรการที่กำหนดไว้ในเรื่องต่าง ๆ เช่น การแจ้งนโยบายความเป็นส่วนตัวและขออนุญาตใช้ข้อมูลการดำเนินการตอบสนองตามสิทธิของเจ้าของข้อมูล การจัดการเมื่อเกิดการรั่วไหลของข้อมูล เป็นต้น
ในกรณีที่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลได้ร้องขอตามสิทธิ PDPA แล้ว แต่หากบริษัทเพิกเฉย ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ที่ต้องพิจารณาคำร้องและดำเนินการตามคำร้องเพื่อให้เป็นไปตามสิทธิของเจ้าของข้อมูล หรือถ้าบริษัทไม่ปฏิบัติตาม PDPA จนเกิดเหตุการณ์ที่ข้อมูลส่วนบุคคลถูกละเมิดก็อาจเกิดผลกระทบต่อธุรกิจได้ มีโทษทั้งทางแพ่ง ทางอาญา และทางปกครอง นอกจากนี้ ยังก่อให้เกิดความเสื่อมเสียชื่อเสียง และความน่าเชื่อถือของบริษัทต่อลูกค้า
แนวทางการป้องกัน บริษัทฯ ได้แต่งตั้งทีมทำงานและตัวแทนหน่วยงานต่าง ๆ ให้รับผิดชอบในการทบทวนกระบวนการทำงานที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคล เช่น การได้มา การจัดเก็บ การนำไปใช้การโอนย้าย และการทำลายข้อมูล เป็นต้น เพื่อกำหนดมาตรการดำเนินการให้สอดคล้องกับกฎหมายกำหนด รวมทั้งรับผิดชอบในการสื่อสาร ให้ความรู้ และกำกับการปฏิบัติของบุคลากรในสังกัดให้เป็นไปตามแนวทางที่กำหนด นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือในหลายขั้นตอนที่เกี่ยวกับการจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อลดโอกาสเกิดความผิดพลาดจากการปฏิบัติงานของบุคลากร
ความเสี่ยงด้านบริหารจัดการ (Management Risk)
ความเสี่ยงจากกรณีที่กลุ่มบริษัท มีผู้ถือหุ้นใหญ่มีอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบายการบริหารงาน
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 กลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของกลุ่มบริษัท คือ กลุ่มสมวัฒนา และกลุ่มปิยะสมบัติกุล โดยถือหุ้นรวมกันเป็นจํานวนร้อยละ 59.84 ของจํานวนหุ้นทั้งหมด ทําให้กลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ดังกล่าวมีอํานาจในการควบคุมกลุ่มบริษัท และมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของกลุ่มบริษัท ในทุกเรื่องที่ต้องได้รับอนุมัติจากการประชุมผู้ถือหุ้น ดังนั้นผู้ถือหุ้นรายย่อยของกลุ่มบริษัท จึงมีความเสี่ยงจากการไม่สามารถรวบรวมคะแนนเสียงเพื่อตรวจสอบและถ่วงดุลเรื่องที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่เสนอให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณานอกจากนี้ การถือหุ้นในลักษณะกระจุกตัวโดย ผู้ถือหุ้นรายใหญ่นี้ยังทําให้โอกาสที่กลุ่มบริษัท จะถูกครอบงํากิจการโดยบุคคลอื่นไม่สามารถเกิดขึ้นได้โดยปราศจากความยินยอมจากผู้ถือหุ้นใหญ่รายนี้
แนวทางการป้องกัน บริษัทฯ ได้แต่งตั้งบุคคลภายนอก 5 ท่านเข้าเป็นกรรมการอิสระและเป็นกรรมการตรวจสอบจากกรรมการทั้งหมด 9 ท่าน จึงเป็นการถ่วงดุลอํานาจของการบริหารจัดการได้ในระดับหนึ่ง นอกจากนี้ ในกรณีเข้าทํารายการที่เกี่ยวโยงกับกรรมการ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ และผู้มีอํานาจควบคุม รวมถึงบุคคลที่อาจมีความขัดแย้งบุคคลดังกล่าวจะไม่มีสิทธิออกเสียงในการอนุมัติรายการดังกล่าว
บริษัทฯ ตระหนักถึงความเสี่ยงใหม่ที่อาจเกิดขึ้นและส่งผลกระทบอย่างรุนแรงหรือสร้างผลกระทบกับโอกาสในการขยายธุรกิจใหม่แก่องค์กร โดยการประเมินและทบทวนความเสี่ยงที่เกิดใหม่ (Emerging Risk) ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ดังนี้
ความเสี่ยงจากโครงสร้างประชากรและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคเริ่มต้นอย่างเห็นได้ชัดเจนจากสถานการณ์การแผ่ระบาดของไวรัสโควิด 19 และต่อเนื่องมากถึงสถานการณ์ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ส่งผลให้ในปี 2567 ชี้ให้เห็นว่า พฤติกรรมโดยรวมของผู้บริโภคทั่วโลกตระหนักและให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อม เพิ่มสูงขึ้นจากในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา มุ่งเน้นและใส่ใจการใช้เทคโนโลยีอย่างก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะในแง่ของสุขภาพและความเป็นอยู่ คำนึงถึงความคุ้มค่า ราคา และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น สิ่งที่พัฒนาและตามมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคเป็นอย่างมาก และเข้ามามีบทบาทกับ Lifestyle ของคนยุคใหม่อย่างแยกไม่ออกคือ Social Media ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram, Line, Twitter, Whatsapp, Skype ฯลฯ
แนวทางการป้องกัน สำหรับบริษัทฯ มีการปรับกลยุทธ์ที่แสดงให้เห็นว่าแบรนด์เข้าใจและเตรียมพร้อมในการสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคในเรื่องความเป็นอยู่ที่มีความปลอดภัย และห่างไกลจากเชื่อโรค พัฒนาการออกแบบพื้นที่ใช้สอยเพื่อตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เช่น เพิ่มพื้นที่ทำงานภายในบ้าน การพัฒนาระบบบ้านอัจฉริยะ (Smart Home) มีการวางระบบโครงข่ายการสื่อสาร (Communication Network) เข้าด้วยกัน เพื่อเชื่อมต่อเครื่องใช้ไฟฟ้า การบริการ การตรวจตราดูแล พร้อมทั้งเข้าถึงการควบคุมอุปกรณ์ต่าง ๆ โดยสามารถควบคุมหรือสั่งการได้ทั้งจากภายในและภายนอกบ้าน นอกจากนั้น มีการจัดทำ platform ลูกค้าสามารถเข้าชมบ้านและดูข้อมูลผ่านช่องทาง Online Platform ไม่ว่าจะเป็น Social media, 360 VR home tour, เว็ปไซต์ nirvanadevelopment.co.th, Private VDO call กับ Personal Assistant หรือ ระบบ Nirvana Online Booking ที่ให้ลูกค้าสามารถเป็นเจ้าของบ้านเนอวานาได้ทุกที่ทุกเวลา เป็นการเพิ่มช่องทางการขายให้มากขึ้น เช่น Live ขายบ้าน / Booking online พัฒนาพนักงานให้เป็น Influencer ขายบ้านผ่าน Live ไม่ต้องเข้ามาชมบ้านตัวอย่างที่โครงการ ก็สามารถจองได้ สามารถดูบ้าน 360 องศา ได้ เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน และตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ปัจจุบันผู้มีส่วนได้เสียมีความตระหนักถึงความเสี่ยงทางสภาพภูมิอากาศและผลกระทบที่มีต่อการลงทุน นอกจากนี้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ประกาศการเข้าร่วมเป็นผู้สนับสนุนมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ (TCFD Supporter) อย่างเป็นทางการ โดยส่งเสริมให้บริษัทต่าง ๆ นำปัจจัยด้านความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศไปบูรณาการในกลยุทธ์และการบริหารความเสี่ยง เพื่อสร้างความมั่นใจในการลงทุนและเพิ่มความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจ การสนับสนุนนี้ยังครอบคลุมถึงการส่งเสริมการเปิดเผยข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐานสากลอย่างโปร่งใสและรัดกุม นอกจากนี้ ในแบบรายงานประจำปี One Report ยังได้ยกระดับการนำเสนอข้อมูลในมิติของความยั่งยืน ไม่เพียงแต่ในด้านสิ่งแวดล้อม แต่ยังรวมถึงสังคมและบรรษัทภิบาล (Environment, Social, Governance – ESG) เพื่อสะท้อนความโปร่งใสและความพร้อมของบริษัทในการรับมือกับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งนี้ ความเสี่ยงดังกล่าวจำเป็นต้องได้รับการจัดการในฐานะความเสี่ยงทางการเงิน เนื่องจากมีศักยภาพในการส่งผลกระทบต่อโมเดลการดำเนินธุรกิจ กระแสเงินสดระยะยาว และความสามารถในการทำกำไรขององค์กรอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ยังอาจส่งผลต่อการประเมินมูลค่าทางเศรษฐกิจของสินทรัพย์ และมูลค่าของธุรกิจในระยะยาวอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ บริษัทฯ จึงต้องคำนึงถึงแนวทางการบริหารจัดการที่ครอบคลุมและสอดคล้องกับมาตรฐานสากลในการจัดการความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศ เพื่อเสริมสร้างความยั่งยืนให้แก่การดำเนินธุรกิจและตอบสนองต่อความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสียอย่างรอบด้าน
การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากภาวะโลกร้อนส่งผลให้สภาพภูมิอากาศมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง ทำให้ในหลายพื้นที่ของประเทศไทยเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติและปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม เช่น อุณหภูมิที่สูงขึ้นในแต่ละปี แผ่นดินไหว พายุฝน ภาวะนํ้าท่วม ฝุ่นควัน PM2.5 เป็นต้น ผลกระทบเหล่านี้ส่งผลต่อการบริหารจัดการทรัพยากรในการดำเนินธุรกิจและอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินของบริษัทฯ รวมถึงกระทบต่อการให้บริการลูกค้า
บริษัทฯ ได้ประเมินผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยแบ่งได้เป็น
1. ผลกระทบต่อการพัฒนาโครงการที่พักอาศัย
น้ำท่วม: ทำเลที่ตั้งโครงการต้องเผชิญกับความเสี่ยงน้ำท่วมบ่อยครั้ง ซึ่งส่งผลต่อการวางแผนพัฒนาโครงการและโครงสร้างพื้นฐาน
คุณภาพอากาศ: ฝุ่น PM2.5 และมลภาวะทางอากาศสร้างความท้าทายต่อการออกแบบบ้านและอาคารที่มีระบบการกรองอากาศที่มีประสิทธิภาพ
อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น: ต้องออกแบบบ้านที่สามารถลดการใช้พลังงาน เช่น การใช้ฉนวนกันความร้อนและวัสดุสะท้อนแสง
2. ผลกระทบด้านต้นทุนการดำเนินงาน ความต้องการใช้วัสดุก่อสร้างที่มีคุณภาพสูงเพื่อทนต่อสภาพอากาศสุดขั้ว ส่งผลให้ต้นทุนการพัฒนาสูงขึ้น หรือการเพิ่มขึ้นของต้นทุนพลังงานจากการใช้ระบบทำความเย็นหรือเครื่องปรับอากาศมากขึ้น
3. ผลกระทบต่อความต้องการของผู้บริโภค ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับบ้านที่ออกแบบให้รองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น บ้านที่ใช้พลังงานหมุนเวียนหรือมีพื้นที่สีเขียวเพิ่มขึ้น
แนวทางการป้องกัน จากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ บริษัทฯ ได้กำหนดมาตรการบริหารจัดการผลกระทบ ได้แก่
- การออกแบบและก่อสร้างที่ยั่งยืน ใช้หลักการออกแบบที่ช่วยลดผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศ เช่น การสร้างพื้นที่สีเขียวในโครงการและริมถนนในโครงการ การออกแบบอาคารให้มีระบบการถ่ายเทอากาศได้ดี ลดความร้อนที่สะสมในตัวบ้าน และการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ และพัฒนาโครงการด้วยวัสดุก่อสร้างที่ลดการใช้พลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
- การวางแผนและบริหารจัดการพื้นที่ เลือกทำเลที่ตั้งโครงการที่ปลอดภัยจากภัยพิบัติธรรมชาติโดยเฉพาะน้ำท่วม การก่อสร้างระบบระบายน้ำในโครงการที่มีประสิทธิภาพเพื่อลดความเสี่ยงจากน้ำท่วม
- การบริหารความเสี่ยงอย่างรอบด้าน ดำเนินการประเมินความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมอย่างละเอียดสำหรับทุกโครงการ และพัฒนาแผนรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน (Crisis Management Plan) และจัดฝึกอบรมพนักงานให้พร้อมรับมือ
- การสื่อสารและการสร้างความตระหนักรู้ ส่งเสริมความรู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแก่พนักงานและผู้บริโภค ใช้ช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการการบริหารจัดการที่บริษัทนำมาใช้
ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นความเสี่ยงที่เกิดขึ้นกับฐานข้อมูลต่างๆของระบบสารสนเทศภายในองค์กร อันอาจจะก่อให้เกิดความเสียหาย ข้อมูลถูกทำลายความเสี่ยงจากผู้บุกรุกข้อมูล การโจรกรรมข้อมูลที่สำคัญ เช่น ข้อมูลลูกค้า ข้อมูลผู้จัดจำหน่าย การลักลอบเข้ามาแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูล ซึ่งความเสี่ยงเหล่านี้ล้วนมีความจำเป็นที่จะต้องเข้ามาบริหารจัดการด้านข้อมูล ดังนั้นการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลจึงเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากข้อมูลสารสนเทศเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับผู้บริหาร ที่จะนำมาช่วยสำหรับการตัดสินใจและใช้สำหรับวางแผน ดังนั้น การรักษาความปลอดภัยของข้อมูลระบบสารสนเทศ จากภัยต่างๆ ทั้งจากบุคคลภายใน บุคคลภายนอก ภัยจากธรรมชาติ หรือเหตุการณ์ใดๆ ต้องมีการวิเคราะห์และป้องกันเพื่อให้เกิดความมั่นคงต่อระบบข้อมูลสารสนเทศและเทคโนโลยี
เนื่องจากความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศจึงมีความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความปลอดภัยด้านเทคโนโลยีสารสนเทศหรือภัยคุกคามทางเทคโนโลยีทีอาจเกิดขึ้น ไม่ว่าจากความผิดพลาดของระบบ ข้อผิดพลาดของมนุษย์ และการโจมตีทางไซเบอร์ เป็นต้น หากระบบสารสนเทศขัดข้องหรือประสบสถานการณ์ใด ๆ ซึ่งเป็นเหตุให้ข้อมูลสูญหายข้อมูลรั่วไหล การไม่ทำงานและ/หรือการทำงานผิดปกติอาจส่งผลกระทบที่รุนแรงและร้ายแรงต่อบริษัทในด้านต่าง ๆ ทั้งการดำเนินงาน ความสามารถในการแข่งขัน ความน่าเชื่อถือ และในที่สุดชื่อเสียงในอุตสาหกรรม
แนวทางการป้องกัน การบริหารจัดการความเสี่ยง บริษัทฯ ได้มีการจัดทำระเบียบการจัดการระบบสารสนเทศและนโยบายความปลอดภัยด้าน IT ขึ้นใหม่ ภายใต้นโยบายและข้อบังคับเหล่านี้ บริษัทฯ ได้ใช้มาตรการรักษาความปลอดภัย เช่น การติดตั้งไฟร์วอลล์ ฮาร์ดแวร์คู่แฝดที่ทำงานร่วมกัน ซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัส ซอฟต์แวร์แพทช์ สิ่งอำนวยความสะดวกในการสำรองข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ การอนุญาตการเข้าถึงระบบที่สำคัญ การยืนยันหรือการพิสูจน์ตัวตน การวางแผนการซ้อมกู้ระบบส่ำเสมอ เป็นต้น นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังสร้างความตระหนักเกี่ยวกับปัญหาความปลอดภัยด้าน IT ให้กับพนักงานผ่านการให้การศึกษาและการฝึกอบรม และทำการประเมินความเสี่ยงและตรวจสอบเป็นประจำ
1. กรณีเกิดการระบาดของโรคติดต่อ
ถึงแม้ว่าในปีที่ผ่านมา สถานการณ์โรคระบาดในประเทศไทยจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นและควบคุมได้ แต่ภาคธุรกิจต่างๆ ได้เตรียมแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ หรือ BCP (business continuity planning) ไม่ให้การดำเนินงานหยุดชะงัก ในกรณีที่รัฐบาลประกาศการแพร่ระบาด หรือมีการปิดพื้นที่บางส่วนในกรุงเทพฯ
แนวทางการป้องกัน บริษัทฯ ในฐานะผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้การดำเนินกิจการต่างๆ สามารถดำเนินงานได้ต่อเนื่อง บริษัทฯ ได้เตรียมแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ ดังนี้
- บริษัทฯ ได้แยกพนักงานที่อยู่ในหน่วยงานสำคัญเป็น 2 ส่วน โดยแบ่งให้กลุ่มหนึ่งทำงานที่บ้าน และอีกกลุ่มทำงานในสถานที่จัดเตรียมไว้ โดยบริษัทฯ ได้เตรียมเครื่องมือในการทำงานให้กับพนักงานที่ทำงานที่บ้าน พร้อมระบบการเข้าถึงข้อมูลภายในบริษัทฯ อย่างทั่วถึง
- Digital platform สำหรับการขายและบริการลูกค้า บริษัทฯ ได้จัดทำ platform ลูกค้าสามารถเข้าชมบ้านและดูข้อมูลผ่านช่องทาง Online Platform ไม่ว่าจะเป็น Social media, 360 VR home tour, เว็ปไซต์ nirvanadevelopment.co.th, Private VDO call กับ Personal Assistant หรือ ระบบ Nirvana Online Booking ที่ให้ลูกค้าสามารถเป็นเจ้าของบ้านเนอวานาได้ทุกที่ทุกเวลา เป็นการเพิ่มช่องทางการขายให้มากขึ้น เช่น Live ขายบ้าน / Booking online พัฒนาพนักงานให้เป็น Influencer ขายบ้านผ่าน Live ไม่ต้องเข้ามาชมบ้านตัวอย่างที่โครงการ ก็สามารถจองได้ สามารถดูบ้าน 360 องศา ได้จากที่บ้าน
- ดำเนินงานด้านการเพิ่มศักยภาพและการสร้างความรู้ในด้านเทคโนโลยีที่สำคัญ ให้กับพนักงานอย่างต่อเนื่อง มุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเพื่อสร้างความยืดหยุ่นให้กับองค์กร (Organization Transformation) เพื่อให้ปรับตัวได้เร็วและสามารถดำเนินธุรกิจได้ท่ามกลางความไม่แน่นอน
- การลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
2. กรณีเหตุการณ์อุทกภัย อัคคีภัย แผ่นดินไหว ภาวะฝุ่น PM2.5 และการชุมนุมประท้วง
เนื่องจากสภาวะวิกฤตหรือเหตุการณ์ฉุกเฉินมีหลากหลายรูปแบบ ดังนั้น เพื่อให้หน่อยงานสามารถบริหารจัดการการดำเนินงานของบริษัทฯให้มีความต่อเนื่อง การจัดหาทรัพยากรที่สำคัญ จึงเป็นสิ่งจำเป็น และต้องระบุไว้ในแผนบริหารความพร้อมต่อภาวะวิกฤต ซึ่งการจัดเตรียมทรัพยากรที่สำคัญ จะพิจารณาจากผลกระทบใน 5 ด้านดังนี้
- ผลกระทบด้านอาคาร / สถานที่ปฏิบัติงานหลัก คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้สถานที่ปฏิบัติงานได้รับความเสียหาย หรือไม่สามารถเข้าไปปฏิบัติงานได้
- ผลกระทบด้านวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็น คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ไม่สามารถใช้วัสดุอุปกรณ์สำคัญต่อการดำเนินงานได้
- ผลกระทบด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและข้อมูลสำคัญ คือ เหตุการณ์ที่เกิดกับระบบข้อมูลสารสนเทศ หรือข้อมูลสำคัญไม่สามารถนำมาใช้ในการดำเนินงานได้
- ผลกระทบด้านบุคลากร คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้บุคลากรไม่สามารถปฏิบัติงานได้ตามปกติ
- ผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้เสียที่สำคัญ คือ เหตุการณ์ที่ทำให้ผู้มีส่วนได้เสียไม่สามารถติดต่อ ให้บริหาร หรือส่งมอบงานได้
แนวทางการป้องกัน จากผลกระทบต่างๆ ที่เกิดขึ้น บริษัทฯ ได้เตรียมแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ ดังนี้
- จัดตั้งทีมงานแผนบริหารความพร้อมเพื่อรับมือต่อภาวะวิกฤต โดยกำหนดนโยบาย บทบาทหน้าที่ของแต่ละบุคคลให้ชัดเจน มีการทดสอบ และซักซ้อมเพื่อให้เกิดความเข้าใจในการนำแผนไปใช้งาน
- วิเคราะห์ถึงผลกระทบต่อการดำเนินงาน โดยกำหนดระดับของผลกระทบเป็น ระดับผลกระทบสูง ปานกลาง ต่ำ หรือไม่เป็นสาระสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจ
- กำหนดทรัพยากรที่จำเป็นต้องใช้ เช่น สถานที่ปฏิบัติงานสำรอง วัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็น เช่น คอมพิวเตอร์ notebook โทรศัพท์มือถือ เครื่องพิมพ์ เครื่องถ่ายเอกสาร UPS ติดตั้งระบบไฟฟ้าสำรอง ระบบสารสนเทศและการเก็บข้อมูลสำคัญ การทำข้อมูลสำรอง และการกู้คืนระบบ จำนวนบุคคลที่จำเป็นต้องทำงานในสภาวะวิกฤต บุคลากรทดแทน หรือบุคลากรภายนอกในกรณีไม่เพียงพอหรือขาดแคลน เป็นต้น
- มีการซักซ้อม ทีมงานบริหารงานต่อเนื่องตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความเข้าใจในการปฏิบัติตามแผน และนำปัญหาหรืออุปสรรคที่เกิดขึ้นไปพิจารณาปรับแผนบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตของแต่ละหน่วยงานต่อไป