NVD 1.80 บาท -0.01 (-0.55%)
EN

การดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม

บริษัทมีความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนบนพื้นฐานของความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม โดยตระหนักและให้ความสำคัญต่อการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจ ผลิตภัณฑ์และบริการ จึงมีนโยบายส่งเสริมให้เกิดการพัฒนากระบวนการผลิต สร้างสรรค์นวัตกรรม เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ทั้งนี้มีการกำหนดเป้าหมายการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างรู้คุณค่า และลดการใช้พลังงานธรรมชาติที่มีอยู่อย่างจำกัด พร้อมทั้งเตรียมแผนและมาตรการต่างๆ เพื่อมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การร่วมรณรงค์เพื่อลดปัญหาการตัดไม้ทำลายป่า การส่งเสริมการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการปกป้องระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ

นโยบายด้านการจัดการดูแลสิ่งแวดล้อม GRI 103-2

  1. ให้ความร่วมมือและปฏิบัติตามข้อบังคับกฎหมายและข้อกำหนดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม
  2. ควบคุมและจัดการคุณภาพของน้ำทิ้งจากกระบวนการผลิตที่ถูกต้องและเหมาะสม
  3. ประหยัดการใช้พลังงานที่เกี่ยวข้องกับการผลิต และสำนักงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
  4. ดำเนินการคัดแยกประเภทขยะทุกครั้งก่อนทิ้ง เพื่อเป็นประโยชน์ในการจัดการของเสีย
  5. เน้นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ โดยการนำกลับมาใช้ใหม่ และจัดหาพลังงานหมุนเวียนทดแทนเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก
  6. ส่งเสริมและสนับสนุนกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเต็มที่ โดยให้ความร่วมมือกับภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนใกล้เคียง พร้อมสร้างคุณภาพชีวิตและสุขอนามัยที่ดีให้กับพนักงาน
  7. จัดสรรทรัพยากรให้เพียงพอต่อการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมให้พนักงานทุกคน ทุกระดับ ตลอดจนผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญของการจัดการสิ่งแวดล้อม ปฏิบัติตามนโยบาย วัตถุประสงค์ และเป้าหมาย ของบริษัทฯ รวมทั้งเปิดเผยนโยบายและผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมแก่สาธารณชน
การป้องกันผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของโครงการที่อยู่อาศัย

บริษัทฯ ดำเนินการโครงการจัดสรรที่ดินเพื่อเป็นที่อยู่อาศัย หรือเพื่อประกอบการพาณิชย์ ที่มีจำนวนที่ดินแปลงย่อยไม่เกิน 500 แปลงขึ้นไป หรือเนื้อที่ไม่เกินกว่า 100 ไร่ บริษัทฯ จึงไม่ต้องทำรายงงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม EIA Report (Environmental Impact Assessment Report) แต่บริษัทฯ ดำเนินการเป็นไปตามขั้นตอนการขออนุญาตจัดสรรที่ดินตามกฎหมาย สำหรับโครงการอสังหาริมทรัพย์ แนวราบ ส่วน ทั้งก่อนเริ่มการก่อสร้างโครงการ ระหว่างการก่อสร้างโครงการ และช่วงดำเนินการโครงการ โดยมีวิเคราะห์ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม 4 ด้าน ได้แก่

  • ด้านทรัพยากรสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ เช่น คุณภาพอากาศ เสียง ความสั่นสะเทือน คุณภาพน้ำ
  • ด้านทรัพยากรสิ่งแวดล้อมทางชีวภาพ เช่น ระบบบำบัดน้ำเสีย ระบบนิเวศวิทยาสังคมเมือง
  • ด้านคุณค่าการใช้ประโยชน์ของมนุษย์ เช่น ปริมาณน้ำที่ใช้ การจัดการขยะมูลฝอย การใช้ไฟฟ้า
  • ด้านคุณค่าต่อคุณภาพชีวิต เช่น ผลกระทบต่อสุขภาพ สังคม อาชีวอนามัย และความปลอดภัย

ในปี 2562 บริษัทฯ จัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม EIA Report (Environmental Impact Assessment Report) โดยได้รับมติให้ความเห็นชอบจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ 1 โครงการ คือ The MOST อิสรภาพ โครงการคอนโดมิเนียมใจกลางเมือง ที่มีการออกแบบแลนด์สเคปสีเขียวร่มรื่นของไม้ใหญ่ แต่ยังมี Vertical Garden สวนสวยในแนวดิ่งที่ทำหน้าที่เป็นม่านสีเขียว ให้ความงามสบายตา และเป็นฟิลเตอร์ฟอกอากาศที่ช่วยดักจับฝุ่นไม่ให้กระจายสู่พื้นที่พักอาศัย บรรเทาปัญหาฝุ่น PM2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การออกแบบโครงการและบ้านถือว่าเป็นส่วนสำคัญเพื่อช่วยลดผลกระทบของสิ่งแวดล้อม ในปีที่ผ่านมาช่วงฤดูหนาวของเมืองไทย กลายเป็นฤดูฝุ่นพิษของชาวกรุงเทพฯ อย่างถาวร สร้างปัญหาให้กับคุณภาพชีวิตคนเมืองหนักขึ้นทุกๆ ปี หนึ่งในวิธีลดฝุ่นพิษอย่างยั่งยืนที่เราต่างทราบกันดี ก็คือ การปลูกต้นไม้ซึ่งดักจับฝุ่นพิษ PM2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นเกราะป้องกันภัยคุกคามจากหมอกพิษที่ชุมชนเมืองต้องการ

การออกแบบบ้านของเนอวานาเป็นการออกแบบ Whole-home Ventilation เน้น Passive Ventilation หรือการถ่ายเทอากาศผ่านช่องเปิด นับเป็นความโดดเด่นของบ้านเนอวานาที่เกิดขึ้นโดยการค้นหาโซลูชั่นตลอดขั้นตอนการออกแบบ จึงทำให้เกิดการจัดวางตำแหน่งช่องเปิดได้อย่างทั่วถึงในทุกมุมของบ้าน และเป็นตำแหน่งที่คำนึงถึงทิศทางลมเข้าและลมออก ที่จะก่อให้เกิดการไหลเวียนอากาศที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด บ้านเนอวานาทุกโครงการ ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮมรวมไปถึงโฮมออฟฟิศ จึงปราศจากมุมอับลม อันเป็นจุดสะสมฝุ่นละอองและเชื้อโรค

Nirvana Living Revolution จึงมาพร้อมการติดตั้งระบบ Air Control System ระบบการฟอกอากาศภายในบ้าน ซึ่งสามารถกรองฝุ่นในระดับ 1 ไมครอน หรือ PM 1 สามารถขจัดปัญหามลพิษ PM 2.5 ได้

นอกจากนี้ปัญหาฝุ่นละอองสะสมจากการก่อสร้าง นับเป็นปัญหาใหญ่ที่อาจจะทำให้ฝุ่นละอองจากการก่อสร้างที่ตกค้างในจุดอับต่างๆ Building Technology ของบ้านเนอวานามีระบบการก่อสร้างด้วย Prestressed Precast Technology จากญี่ปุ่น ที่ไม่เพียงมีความแข็งแรงทนทานสูงเท่านั้น แต่ยังควบคุมการผลิตตามมาตรฐานประเทศญี่ปุ่น จึงได้ชิ้นส่วนคอนกรีตของวัสดุอื่นๆ ในขนาดที่แม่นยำ อีกทั้งการเตรียมการอย่างรอบคอบทุกขั้นตอน จึงลดปัญหาขยะและฝุ่นที่จะตกค้างหลังก่อสร้าง บ้านเนอวานาจึงสามารถส่งมอบบ้านปราศจากฝุ่นละอองสะสม

Tree Selection ต้นไม้ นับเป็นหนทางแก้ปัญหาคุณภาพอากาศอย่างยั่งยืนที่สุด แต่ต้นไม้จำนวนมากนั้น มีการผลัดใบในฤดูแล้ง อันเป็นฤดูที่ค่ามลพิษสูงที่สุดในกรุงเทพมหานคร อีกทั้งเศษใบไม้ ยังลดทอนความงามของทัศนียภาพโดยรวมอีกด้วย โครงการเนอวานา จึงเลือกสรรต้นไม้ที่ไม่เพียงเติบโตได้ดีในสภาพอากาศของประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังดูแลรักษาง่าย และที่สำคัญ ยังเป็นต้นไม้ที่มีคุณสมบัติในการดักจับฝุ่นละอองได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงอีกด้วย

Timeless Design การออกแบบบ้านเนอวานาทุกโครงการล้วนเป็นสไตล์ Natural Modern ที่เป็น Timeless Design มีการวางรูปแบบบ้านเป็นรูปตัว L ที่ทำให้มีผนังเปิดโล่งได้มากถึง 3 ด้าน เกิดสเปซแบบ Inside out, Outside In เชื่อมต่อกับธรรมชาติและพื้นที่สีเขียวได้ง่ายยิ่งขึ้น การใช้เทคนิค Mass & Void ทั้งในแนวนอนและตั้งรองรับการพัดพาของลม เกิดการหมุนเวียนอากาศภายในทำให้อยู่สบาย ไม่ร้อน และยังช่วยลดการใช้พลังงานด้วย นอกจากนี้ยังใช้ความรู้ทางสถาปัตยกรรมในการบิดมุมห้อง ขยายช่องเปิด สร้างสเปซแปลกใหม่ที่ทำให้แสงธรรมชาติในบ้านเพิ่มขึ้นเสริมสุขภาวะที่ดีอผู้อยู่อาศัยโดยตรงการออกแบบการพัฒนาโครงการและบ้านของเนอวานา อยู่บนพื้นฐานของการพัฒนาอย่างยั่งยืน

จากการออกแบบที่เป็น Timeless Design เพิ่มช่องเปิดภายในบ้านเพื่อการประหยัดพลังงานและแสง ลดการใช้เครื่องปรับอากาศ ขั้นตอนการก่อสร้างแบบ Prestressed Precast Technology ที่ลดปริมาณฝุ่นละอองภายในอากาศ และต้นไม้ที่ดูดซับฝุ่นและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ช่วยให้ลดมลภาวะทางอากาศ ทุกอย่างล้วนเป็นการออกแบบที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง

การใช้ประโยชน์สูงสุดของพื้นที่กับ Universal Design เพื่อให้ทรัพยากรถูกใช้อย่างคุ้มค่า งานออกแบบสถาปัตยกรรมที่เรียกว่า Universal Design จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญ เพราะยิ่งมีคนเข้าถึงได้มากเท่าไหร่ ต้นทุนทรัพยากรหารเฉลี่ยยิ่งน้อยลงเท่านั้น คิดง่ายๆ อย่างการสร้างบ้านที่รองรับการอยู่อาศัยของคน 3 เจนเนอเรชั่นย่อมประหยัดทรัพยากรและลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมได้ดีกว่าการสร้างบ้านเพื่อคนแต่ละเจนเนอเรชั่น เนื่องจากพวกเขาสามารถแชร์ห้องนั่งเล่น ห้องทานอาหาร ห้องครัว หรือพื้นที่สาธารณะได้ โดยยังคงมี Private Space อย่างห้องนอนไว้ใช้งาน ในขณะที่บ้านที่อยู่อาศัยคนเดียวก็ต้องมีฟังก์ชั่นเหล่านี้เช่นกันแต่จะเห็นได้ว่ามีการใช้งานที่คุ้มค่าต่างกัน

ในการก่อสร้างแต่ละครั้งเราต้องสูญเสียทรัพยากรจำนวนไม่น้อย และเมื่อคิดถึงการประเมินวัฏจักรชีวิตผลิตภัณฑ์หรือ Life Cycle Assessment ตั้งแต่กระบวนการผลิตจนถึงการจัดการเมื่อวัสดุเหล่านั้นหมดอายุการใช้งาน ตัวอย่างเช่น การผลิตคอนกรีตต้องใช้พลังงานและทรัพยากร 700 กิโลวัตต์-ชั่วโมง/ลูกบาศก์เมตร ส่วนกระบวนการผลิตไม้เราจะสูญเสียพลังงาน 350 กิโลวัตต์-ชั่วโมง/ลูกบาศก์เมตร การเลือกวัสดุที่เหมาะสมกับการใช้งาน สภาพภูมิอากาศ และปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก เพื่อให้การบริโภคทรัพยากรเป็นไปอย่างรู้คุณค่าตลอดอายุขัยที่แท้จริง ระบบ Circular Economy หรือระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนจึงถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวางในวงการสถาปัตยกรรม โดยเฉพาะการสร้างนวัตกรรมเพื่อการก่อสร้าง เช่น การผลิตผิวสำเร็จหรือการเคลือบที่ทำจากวัสดุรีไซเคิลอย่างยางรถยนต์หรือแก้ว แผงฉนวนกันความร้อนที่ทำจากเศษไม้ก๊อกบด หรือการใช้เซลลูโลสเหลือทิ้งจากอุตสาหกรรมกระดาษมาทดแทนพลาสติก เป็นต้น ความพยายามที่จะนำวัสดุกลับมาใช้ซ้ำ (Reused) นำกลับมาใช้ใหม่ (Recycle) และการใช้วัสดุจากแหล่งซัพพลายใกล้เคียงเพื่อลดความสิ้นเปลืองด้านการขนส่ง และรวมไปถึงการใช้เทคโนโลยีต่างๆ เพื่อลดการสร้างขยะจากการก่อสร้างให้น้อยลงนั้น ยังหมายถึงการใช้พลังงานและทรัพยากรที่ลดลงด้วย

พื้นไม้ลามิเนต บริษัทเลือกใช้พื้นไม้ลามิเนตสำหรับพื้นชั้น 2-3 ในบ้านให้กับลูกค้า พื้นไม้ลามิเนตไม่ได้ผลิตจากไม้จริง 100% เป็นนวัตกรรมเทคโนโลยีสมัยใหม่ในขั้นตอนการผลิต ถูกออกแบบมาเพื่อลดการตัดไม้ทำลายป่า เพราะทุกวันนี้ไม้จริงเหลือน้อยเต็มที พื้นไม้ลามิเนตจึงถูกผลิตขึ้นมาเพื่อทดเเทนไม้จริง โดยข้อดีของพื้นไม้ลามิเนตเป็นวัสดุปูพื้นทดแทนพื้นไม้ธรรมชาติ ผิวหน้าพิมพ์ลายเลียนแบบลายไม้ธรรมชาติ จึงมีส่วนช่วยลดการตัดไม้ทำลายป่าได้หลายเท่าตัว ซึ่งพื้นไม้ลามิเนตของคู่ค้าที่บริษัทคัดเลือกนั้น จะต้องผลิตจากไม้ป่าปลูก ซึ่งจะตัดเมื่อต้นไม้เหล่านั้นถึงอายุไขที่ต้องตัดทิ้ง โดยประมาณ 25-50 ปี นอกจากนี้พื้นไม้ลามิเนตไม่มีสารก่อภูมิแพ้ สารเคมีที่ทำร้ายคนในครอบครัว ไม่อันตรายต่อคนและสัตว์เลี้ยง อีกทั้งผิวหน้าของพื้นไม้ลามิเนตได้ทำการเคลือบไว้ นอกจากจะทนทานต่อรอยขูดขีดแล้ว ยังมีส่วนช่วยทำให้หน้าพื้นไม่เก็บกักฝุ่นช่วยลดอาการภูมิแพ้กำเริบได้เป็นอย่างดี และทำความสะอาดง่ายอีกด้วย

กระเบื้องเซรามิค บริษัทเลือกใช้กระเบื้องปูพื้น COTTO และกระเบื้องบุผนัง SOSUCO ใช้ในโครงการ ซึ่งได้รับฉลากลดคาร์บอนจากมูลนิธิสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย TEI (Thailand Environmental Institute) และ SCG Green Choice ฉลากสินค้าเพื่อสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตที่ดี เป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถประหยัดพลังงาน ลดโลกร้อน (Climate Resilience) และ ประหยัดทรัพยากรธรรมชาติ และยืดอายุการใช้งาน (Circular Economy) ที่ช่วยลดการใช้น้ำในกระบวนการผลิตอย่างน้อยร้อยละ 25

สุขภัณฑ์ประหยัดน้ำ บริษัทเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ประหยัดการใช้น้ำ เช่น สุขภัณฑ์ ก๊อกสำหรับอ่างล้างมือ ฝักบัวอาบน้ำหลากหลายรุ่น ที่ลดการใช้น้ำได้มากกว่า 20% ไปจนถึง สุขภัณฑ์อัจฉริยะ (Integrated Toilet) SCG Green Choice จาก COTTO ที่ช่วยลดการใช้น้ำได้ถึง 25% เมื่อเทียบกับสุขภัณฑ์ทั่วไป ทั้งยังมีฟังก์ชันเปิด-ปิดฝาอัตโนมัติ และมีก้านฉีดชำระสแตนเลสผสมสารป้องกันแบคทีเรีย มาพร้อมระบบ UV Sterilization (Self-Cleaning) เพิ่มความมั่นใจในความสะอาดทุกครั้งที่ใช้งาน เพื่อตอบโจทย์เรื่องความสะอาดและความปลอดภัยในยุค New Normal

สีทาภายนอก บริษัทเลือกใช้สีทาภายในและภายนอกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยบริษัทเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สีที่ใช้ทาทั้งภายนอกและภายในกับ TOA Greenovation นวัตกรรมสีเพื่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม เป็นผลิตภัณฑ์ที่ Zero VOCs Emission เอกสารรับรองคุณสมบัติ จากฉลากเขียว มอก. ไม่ผสมสารปรอทและตะกั่ว ที่ถูกนำมาใช้ใน Green Building Standard