NVD 0.82 บาท - (-%)
EN

การบริหารจัดการด้านการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ

บริษัทฯ เล็งเห็นถึงความสำคัญของประเด็นผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั้งในเชิงกายภาพ (Physical Risks) และเชิงการเปลี่ยนแปลง (Transitional Risks) การเตรียมตัวความพร้อมในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ดีและทันท่วงทีจึงมีความสำคัญทั้งต่อการลดความเสี่ยงที่อาจจะส่งผลให้เกิดการหยุดชะงักของธุรกิจ อันเนื่องมาจากผลกระทบ อาทิ น้ำท่วม ภัยแล้ง หรือการขาดแคลนวัตถุดิบ ทั้งต่อต้นทุนในการดำเนินธุรกิจ และความสามารถในการทำกำไร จากแนวโน้มที่จะมีการประกาศใช้กฎหมายหรือมาตรการในการจำกัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือจากราคาสินค้า วัตถุดิบ และบริการต่าง ๆ ของคู่ค้าที่มีการผลิตที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด รวมไปถึงส่งเสริมชื่อเสียงและดึงดูดผู้มีส่วนได้เสีย ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า ร้านค้า ผู้เช่า สถาบันการเงิน นักลงทุนเจ้าหนี้ คู่ค้า พันธมิตรทางธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน จากการจัดทำผลิตภัณฑ์หรือบริการที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม หรือมีการใช้มาตรการหรือดำเนินกิจกรรมเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทำให้ความสามารถในการแข่งขันและโอกาสทางธุรกิจที่จะเพิ่มสูงขึ้นผ่านด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสะท้อนผ่านการบริหารจัดการต้นทุนทางสิ่งแวดล้อมและพลังงาน อาทิ ประสิทธิภาพการใช้พลังงานต่อหน่วยการผลิต ความคุ้มค่าของพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน เป็นต้น บริษัทได้สื่อสารและส่งเสริมการมีส่วนร่วมให้เกิดแนวปฏิบัติที่ดีตลอดห่วงโซ่คุณค่าขององค์กรโดยระบุแนวปฏิบัติสำหรับประเด็นสำคัญทางด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม เพื่อลดปัญหาก๊าซเรือนกระจก

ในปี 2567 บริษัทฯ ได้ว่าจ้างบริษัท Baker Mckenzie Thailand เป็นที่ปรึกษาการดำเนินการจัดทำบัญชีรายการก๊าซเรือนกระจก และประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร (Carbon Footprint for Organization: CFO หรือ Corporate Carbon Footprint: CCF) ตามมาตรฐานข้อกำหนดการคำนวณและรายงานคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรที่เป็นมาตรฐานสากล เพื่อมุ่งสู่การเป็นองค์กร Zero Carbon หรือองค์กรที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ ในการจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร เพื่อประเมินปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมที่เกิดขึ้นขององค์กร ทำให้ทราบแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญขององค์กร และนำไปสู่การบริหารจัด การวางแผนและการปฏิบัติเพื่อลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มีนัยสำคัญต่อไป

บริษัทฯ ได้รวบรวมข้อมูลระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2567 - 31 ธันวาคม 2567 และกำหนดขอบเขตการใช้ทรัพยากรพลังงานที่สร้างปฏิกิริยาในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยในปีนี้ บริษัทฯ ได้ขยายการจัดเก็บข้อมูลของบริษัท เนอวานา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด(มหาชน) ได้แก่ สำนักงานใหญ่ และโรงงานพรีแคส จ.นครปฐม และโครงการที่มีบ้านพร้อมขาย โดยมีรายละเอียดดังนี้

  1. ก๊าซเรือนกระจกทางตรง ขอบเขตที่ 1 เป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีการเผาไหม้เคลื่อนที่ (Mobile Combustion) โดยคำนวณจากการใช้น้ำมันที่มาจากปริมาณการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงในยานพาหนะของบริษัทในการเดินทางที่เกี่ยวเนื่องกับกิจธุระของบริษัท การใช้สารทำความเย็นของเครื่องปรับอากาศในอาคารสำนักงาน การใช้เครื่องดับเพลิงที่มีส่วนประกอบของสารดับเพลิงที่เป็นก๊าซคาร์บอน
  2. ก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม ขอบเขตที่ 2 เป็นก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากไฟฟ้าที่ถูกนำจากภายนอกเข้ามาใช้ในบริษัทฯ โดยคำนวณจากปริมาณการใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งหมดของบริษัทฯ
  3. ก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม ขอบเขตที่ 3 เป็นก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการใช้น้ำประปา กระดาษ ภายในองค์กร และการใช้วัตถุดิบ เช่น ปูนซีเมนต์และเหล็ก ในการผลิตผลิตภัณฑ์คอนกรีตเพื่อใช้ในงานก่อสร้าง เช่น แผ่นพื้น, เสา, เสาเข็ม, คาน, แผ่นผนังสำเร็จรูปพรีคาสท์

สรุปผลการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ปี 2567

เนื่องจากบริษัทฯ ต้องการเตรียมพร้อมกับการประกาศใช้กฎหมายหรือมาตรการในการจำกัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่กำลังจะเกิดขึ้น การบังคับรายงานขอบเขตการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ประเภท 3 (Scope 3 emissions) ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และเป็นการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ในปี 2567 บริษัทฯ ได้มีการขยายขอบเขตการเก็บข้อมูลบัญชีรายการก๊าซเรือนกระจก จากเดิมที่เก็บข้อมูลเฉพาะสำนักงานใหญ่ ได้เพิ่มขยายการเก็บข้อมูลบัญชีรายการก๊าซเรือนกระจกไปยังโรงงานพรีแคสและโครงการที่มีบ้านพร้อมขายของบริษัทฯ ด้วย ดังนั้นผลการประเมินก๊าซเรือนกระจกทั้ง 3 ขอบเขต จะเห็นได้ว่ามีปริมาณก๊าซเรือนกระจกของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา โดยพบว่า ปริมาณก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด คือ ขอบเขต 2 การใช้ไฟฟ้าจากสำนักงาน โครงการที่มีบ้านพร้อมขาย และในโรงงานผลิตพรีแคส

ในปี 2567 บริษัทฯ มีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมเป็นจำนวน 1,446.32 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โดยเกิดจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง ขอบเขตที่ 1 (Direct Emission: Scope 1) จำนวน 29.47 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือ tonCO2e คิดเป็นร้อยละ 2 ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม ขอบเขตที่ 2 (Indirect Emission: Scope 2) จำนวน 829.18 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือ tonCO2e คิดเป็นร้อยละ 57 และปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม ขอบเขตที่ 3 (Other Indirect Emissions: Scope 3) จำนวน 587.67 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือ tonCO2e คิดเป็นร้อยละ 41

ขอบเขต 2565 (tonCO2e) ร้อยละ 2566 (tonCO2e) ร้อยละ 2567 (tonCO2e) ร้อยละ
ก๊าซเรือนกระจกทางตรง ขอบเขต 1 1.21 1 2.71 2 29.47 2
ก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม ขอบเขต 2 100.72 91 117.90 92 829.18 57
ก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม ขอบเขต 3 9.08 8 7.14 6 587.67 41
รวมปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 111.01 100 127.75 100 1,446.32 100

ในส่วนของสำนักงานใหญ่ปี 2567 บริษัทฯ มีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมเป็นจำนวน 112.67 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โดยเกิดจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง ขอบเขตที่ 1 (Direct Emission: Scope 1) จำนวน 1.18 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือ tonCO2e คิดเป็นร้อยละ 1.04 ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม ขอบเขตที่ 2 (Indirect Emission: Scope 2) จำนวน 106.20 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือ tonCO2e คิดเป็นร้อยละ 94.27 และปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม ขอบเขตที่ 3 (Other Indirect Emissions: Scope 3) จำนวน 5.29 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือ tonCO2e คิดเป็นร้อยละ 4.69

ตารางรายละเอียดการจัดเก็บข้อมูล (เฉพาะสำนักงานใหญ่)
ขอบเขต 2565 (tonCO2e) ร้อยละ 2566 (tonCO2e) ร้อยละ 2567 (tonCO2e) ร้อยละ
ก๊าซเรือนกระจกทางตรง ขอบเขต 1 1.21 1 2.71 2 1.18 1.04
ก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม ขอบเขต 2 100.72 91 117.90 92 106.20 94.27
ก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม ขอบเขต 3 9.08 8 7.14 6 5.29 4.69
รวมปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 111.01 100 127.75 100 112.67 100

ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบกับปี 2566 จะพบว่าปริมาณก๊าซเรือนกระจกทั้ง 3 ขอบเขต ของสำนักงานใหญ่ มีปริมาณลดลงในทุกขอบเขต

แนวทางการดำเนินงานเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

  1. บริษัทได้มีการทบทวนนโยบายและแผนงานที่จะขับเคลื่อนสู่การเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในอนาคต โดยเฉพาะการนโยบายในการลดก๊าซเรือนกระจกให้ครอบคลุมครบทั้งขอบเขตที่ 1, 2 และ 3
  2. จากการวิเคราห์สัดส่วนปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงาน พบว่าส่วนใหญ่มาจากการใช้พลังงานไฟฟ้า ดังนั้น บริษัทฯ จึงได้ดำเนินมาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยเน้นการลดการใช้พลังงานไฟฟ้า โดยอยู่ในระหว่างดำเนินโครงการนำพลังงานทดแทนมาใช้ โดยการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์
  3. นอกจากนี้บริษัทฯ ยังเลือกใช้เทคโนโลยีประสิทธิภาพสูงช่วยในการประหยัดพลังงาน ได้แก่
    • ติดตั้งโคมไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงและหลอดไฟฟ้า LED พร้อมระบบควบคุมการเปิด-ปิด (Motion Sensor)
    • เลือกใช้ระบบปรับอากาศที่มีประสิทธิภาพ
    • การเลือกใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักร อุปกรณ์ที่มีฉลากเบอร์ 5 ประหยัดพลังงาน
  4. ทุกโครงการของบริษัทฯ เลือกใช้สุขภัณฑ์ประหยัดน้ำและพลังงานเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง โดยเลือกใช้โถสุขภัณฑ์และก็อกน้ำของ COTTO จำนวน 5 โครงการ ได้แก่ โครงการ เนอวานา แอบโซลูท บางนา, โครงการ เนอวานา แอบโซลูท เอกมัย-รามอินทรา, โครงการ เนอวานา แอบโซลูท กรุงเทพกรีฑา, โครงการ เนอวานา ดีฟายน์ เอกมัย-รามอินทรา และโครงการ เนอวานา ดีฟายน์ กรุงเทพกรีฑา นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเลือกใช้สุขภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของคู่ค้ารายอื่นๆ เช่น โครงการ เนอวานา คอเลคชั่น เลือกใช้โถสุขภัณฑ์และก๊อกน้ำ ที่ช่วยลดการใช้น้ำของ TOTO Technical
  5. บริษัทฯ มีนโยบายสนับสนุนให้ผู้บริหารและพนักงานใช้รถพลังงานไฟฟ้า เพราะบริษัทฯ ตระหนักถึงผลกระทบที่เกิดจากก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการใช้รถยนต์สันดาปภายใน หรือใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล (Fossil fuel) เช่น น้ำมัน LPG และ NGV และเพื่อเป็นการสนับสนุนพลังงานที่ใช้ยานยนต์ไฟฟ้า หรือ Electric Vehicle (EV) โดยพนักงานที่ได้รับ Fleet Card รายเดือน และปัจจุบันใช้รถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริด (Plug-in Electric Vehicle: PHEV) และรถยนต์ฟฟ้าแบบใช้พลังงานอย่างเดียวในการขับเคลื่อน (Plug-in Electric Vehicle: PEVs) สามารถเลือกรับเป็นเงินได้แทน Fleet Card ของบริษัทฯ ในอัตราร้อยละ70 ของวงเงินที่กำหนดปัจจุบัน
  6. การขอความร่วมมือพนักงานช่วยกันตรวจสอบการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลวันหยุด ให้พนักงงานทุกคนถอดปลั๊กและปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกอย่าง เพื่อเป็นการประหยัดพลังงาน และลดความเสี่ยงการเกิดอัคคีภัยจากไฟฟ้าลัดวงจร
  7. บริษัทฯ มีโครงการลดการใช้กระดาษ บริษัทนำระบบ Office 365 มาใช้ในการทำงานของพนักงานทั่วทั้งบริษัทฯ และสนับสนนการใช้กระดาษ 2 ด้าน นอกจากนี้ ได้ปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานเป็นการใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ และElectronic file
  8. การส่งเสริมให้พนักงานทุกคนมีส่วนร่วมในการจัดการก๊าซเรือนกระจก สิ่งแวดล้อมและพลังงานภายในองค์กร ด้วยการดำเนินงานโครงการ ดังต่อไปนี้ “Switch off” ปิดสวิตช์เมื่อไม่ใช้งาน และ 3R+1 “Reduce Reuse Recycle & Rethink” ผลพลอยได้ที่เกิดขึ้นคือ ทำให้บริษัทฯ ลดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ลง
  9. การเพิ่มห้องประชุมในสำนักงาน ทำให้พนักงานใช้ห้องประชุมภายในบริษัทฯ รวมถึงการอบรมมากขึ้น ลดการใช้เชื้อเพลิงในการใช้ยานยนต์เพื่อการเดินทางของพนักงานไปยังสถานที่ประชุมภายนอก
  10. ในส่วนการสร้างความตระหนักรับรู้ของพนักงานเกี่ยวกับปัญหาสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง และอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทฯ นั้น บริษัทฯ ได้จัดอบรมให้ความรู้เรื่องก๊าซเรือนกระจกและแนวทางการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร เพื่อให้พนักงานผู้ข้าอบรมสามารถจำแนกกิจกรรมที่เป็นสาเหตุและแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มีนัยสำคัญ นำไปสู่มาตรการหรือแนวทางบริหารจัดการเพื่อลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  11. มีการดำเนินการชดเชยคาร์บอน โดยในปี 2567 บริษัทฯ ได้ร่วมกับบริษัทในกลุ่มเมโทรพลายดำเนินการเพิ่มพื้นที่ปลูกต้นยูคาลิปตัส บนพื้นที่จำนวน 20 ไร่ หรือประมาณ 3,500 ต้น เมื่อเดือนมิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา และมีแผนที่จะดำเนินการปลูกต่อเนื่องในปี 2568